วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๒๔๙๒/๒๕๕๒
ป.อ. มาตรา ๓๑๗ , ๓๑๘ , ๓๑๙
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ ถึงมาตรา ๓๑๙ การพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้องเป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุอันสมควรตามมาตรา ๓๑๗ วรรคแรก และถ้ามีเจตนาพิเศษเพื่อหากำไรหรือ เพื่อการอนาจารก็ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
             ถ้ากรณีผู้เยาว์อายุกว่า ๑๕ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๘ ปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๘ ย่อมมีโทษหนักกว่ากรณีผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๙ กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลนั่นเอง มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้ เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตลอดเวลา
             นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำ หรือไม่มีผู้ชักนำก็ตามก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น ดังนั้น ในวันที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้านของจำเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อน และจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ของบิดามารดาที่มีต่อผู้เยาว์ย่อมถูกพรากจากไปโดยปริยาย โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพราะตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า มารดาของผู้เยาว์ห้ามปรามมิให้ผู้เยาว์คบหากับจำเลย ทั้งจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่สาวผู้เยาว์จนตั้งครรภ์ การร่วมประเวณีกับผู้เยาว์จึงมิใช่การอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยสุจริต แม้ผู้เยาว์จะสมัครใจก็เป็นความผิด
             สำหรับวันที่ผู้เยาว์เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจำเลยบอกว่าไม่อยากอยู่บ้านแล้ว จะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและบอกจำเลยให้ไปพบที่ท่าน้ำพระประแดง และเมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพัง แต่ขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน ๒ คืน โดยผู้เยาว์เป็นคนจ่ายค่าห้องและค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงผู้เดียว ทั้งเมื่อกลับถึงจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้ไปเปิดห้องพักที่โรงแรม และผู้เยาว์ทราบจากจำเลยว่ามารดาของผู้เยาว์แจ้งความเรื่องผู้เยาว์หายไป ผู้เยาว์จึงให้เงินจำเลยอีก ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนี ดังจำเลยต่อสู้ก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน
             พฤติการณ์ของจำเลยจึงมิใช่ตามไปเป็นเพื่อนในกรณีผู้เยาว์หนีออกจากบ้าน แต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น การที่มารดาผู้เยาว์ไปแจ้งความ แสดงว่ามารดาผู้เยาว์ยังเอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์อยู่ ไม่ทำให้อำนาจปกครองของมารดาผู้เยาว์สิ้นไปในระหว่างผู้เยาว์หนีไปเที่ยวพัทยา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๐๓๘-๑๖๐๓๙/๒๕๕๓
ป.อ. พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร (มาตรา ๓๑๗, ๙๑)
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ มีความมุ่งหมายเพื่อให้ความคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อผู้เยาว์ มิให้ผู้ใดพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีใดและไม่คำนึงถึงระยะใกล้หรือไกล
             การที่จำเลยลากผู้เสียหายที่ ๑ เข้าไปในบ้านของจำเลย แล้วกระทำชำเรา ถือได้ว่าจำเลยล่วงอำนาจปกครองหรือแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดามารดาในการควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ ๑ โดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานกระทำชำเรา เพราะความผิดทั้งสองมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นคนละเจตนาและเป็นความผิดต่างฐานกัน การกระทำจึงเป็นความผิดหลายกรรม