วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผิดฐานพยายามกระทำชำเราเด็ก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4164/2555
ป.อ. มาตรา 80, 276 วรรคสอง
พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 มาตรา 3
            ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งมีอายุเพียง 6 ปีเศษ ทุกครั้งที่โจทก์ร่วมไปเรียนว่ายน้ำกับจำเลย ที่สระว่ายน้ำของโรงเรียน จำเลยได้พาโจทก์ร่วมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วให้โจทก์ร่วมปีนไปนั่งบนอ่างล้างหน้า แล้วจำเลยใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม และใช้อวัยวะเพศจำเลยถูไถอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมแต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมเพราะอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมมีขนาดเล็ก โดยโจทก์ร่วมไม่ยินยอม เห็นได้ว่า จำเลยประสงค์จะใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม มิใช่เพียงการใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถเฉพาะภายนอกอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมโดยไม่ประสงค์จะสอดใส่
           คำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่มีเหตุให้ระแวงว่าเป็นคำเบิกความเกินความจริง เพราะโจทก์ร่วมเป็นลูกศิษย์ของจำเลย หากจำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าวต่อโจทก์ร่วมจริง ย่อมเป็นการยากที่โจทก์ร่วมซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อนจะสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อปรักปรำบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ของตน
           อีกทั้งแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่า โจทก์ร่วมมีอาการอักเสบเป็นรอยแดงบริเวณแคมทั้งสองข้างรอบปากช่องคลอด ซึ่งสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าจำเลยประสงค์จะใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม
           แต่เนื่องจากโจทก์ร่วมเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 6 ปีเศษ มีอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก เมื่อถูกจำเลยพยายามใช้อวัยวะเพศของจำเลยเสียดสีเพื่อจะสอดใส่ จึงเป็นผลให้เกิดการอักเสบดังกล่าว
           พฤติการณ์การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยได้ชัดเจนว่าจำเลยกระทำต่อโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม หาใช่มีเจตนาเพียงแค่กระทำอนาจารไม่
           ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27, 6 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น
           ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า กฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ต้องการขยายความหมายของการกระทำชำเราว่า นอกจากหมายถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำต่ออวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำด้วย เท่ากับเป็นการเพิ่มอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่
           นอกจากนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าวยังได้เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำ กล่าวคือ นอกจากจะกระทำชำเราโดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้สิ่งอื่นใด เช่น การใช้อวัยวะเพศเทียมกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำด้วย จึงเป็นกรณีที่บทบัญญัติดังกล่าวขยายความหมายของคำว่ากระทำชำเรา ในแง่เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำและอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่เท่านั้น
           ส่วนกรณีอย่างไรจึงจะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จนั้นก็คงยังคงมีความหมายอยู่ว่า จะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จได้ต้องถึงขั้นอวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในทวารหนักของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในช่องปากของผู้ถูกกระทำ หากมีการใช้สิ่งของอย่างอื่น เช่น อวัยวะเพศเทียม สิ่งของอย่างนั้นก็ต้องมีการล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำเช่นกัน
           เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้รับฟังได้ว่า จำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม แต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมได้ เพราะอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมมีขนาดเล็ก ส่วนการใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏว่าลิ้นได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม
           การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำชำเราแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ร่วม จำเลยเป็นครูบาอาจารย์ย่อมต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นศิษย์ ทั้งยังเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 6 ปีเศษ โดยได้กระทำต่อโจทก์ร่วมทุกครั้งที่มาเรียนว่ายน้ำกับจำเลย ต่างกรรมต่างวาระ จำนวนมากถึง 10 ครั้ง เป็นความผิดถึง 10 กระทง แสดงว่าจำเลยกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังขาดจริยธรรมของการเป็นครู ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดโทษจำคุกกระทงละ 8 ปี นับว่าเป็นการเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษเบาลงกว่านี้อีก

ไม่ผิดฐานพยายามข่มขืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1390/2555
ป.อ. มาตรา 277
                การกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก หมายถึง การร่วมประเวณี กรณีจึงต้องมีการสอดใส่อวัยวะเพศของผู้กระทำเข้าในอวัยวะเพศของอีกฝ่าย แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขใหม่โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 บัญญัติว่า “การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น” ก็เป็นเพียงการขยายขอบเขตของการกระทำชำเราในส่วนของอวัยวะที่ถูกกระทำในมาตรา 277 วรรคแรก ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อวัยวะเพศ จะเป็นที่ทวารหนักหรือที่ช่องปากก็ได้ และสิ่งที่ใช้ในการกระทำไม่จำเป็นต้องเป็นอวัยวะเพศเท่านั้น จะเป็นสิ่งอื่นใดก็ได้
                ดังนั้น การกระทำชำเราไม่ว่าเป็นการกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่นจึงยังคงต้องมีการสอดใส่อวัยวะเพศหรือสิ่งอื่นใดให้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเพียงการสัมผัสภายนอกกับอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากของผู้อื่นไม่ว่าด้วยอวัยวะส่วนใดหรือด้วยวัตถุสิ่งใดก็จะเป็นการกระทำชำเราไปเสียทั้งหมด
                คดีนี้จำเลยเพียงใช้อวัยวะเพศของจำเลยเสียดสีถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แม้โดยมีเจตนาเพื่อสนองความใคร่ของจำเลย แต่เมื่อมิได้มีการสอดใส่เพื่อที่จะให้อวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จึงยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นการกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยคงเป็นเพียงกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  11065/2554
ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ป.อ. มาตรา 80, 276 วรรคหนึ่ง, 278
             จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกดตัวผู้เสียหายลงกับพื้น ใช้มือชกที่บริเวณท้องและปากของผู้เสียหาย แล้วจำเลยฉีกกระชากกระโปรงของผู้เสียหายจนขาด ผู้เสียหายร้องให้คนช่วยและมีผู้เข้าช่วยเหลือ ดังนี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
            แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้ แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 อันเป็นความผิดที่รวมการกระทำตามที่โจทก์ฟ้องอยู่ด้วยแล้วศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความผิดที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  117/2534
ป.อ. มาตรา 277, 285, 279
ป.วิ.อ. มาตรา 192
              ผู้เสียหายเบิกความไม่แน่นอน ตอบโจทก์ว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย แต่ตอบทนายถามค้านว่าจำเลยกอดปล้ำผู้เสียหายอยู่นานประมาณ 15 นาที อวัยวะเพศของจำเลยอยู่บริเวณหน้าอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ยังไม่ได้เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าอวัยวะเพศของจำเลยได้เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จึงน่าจะเกิดจากความเข้าใจของผู้เสียหายซึ่งยังเป็นเด็กและอยู่ในภาวะตกใจกลัว อาจจะไม่ถูกต้องต่อความเป็นจริงได้
             ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าจำเลยได้ใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายอายุเพียง 12 ปีเศษ แพทย์น่าจะตรวจพบร่องรอยการร่วมเพศหรือน่าจะตรวจพบเชื้ออสุจิในปากช่องคลอดของผู้เสียหาย หรือถ้าจำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยก็จะต้องใช้กำลังดันอวัยวะเพศให้เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายไม่ยินยอม ผลจากการกระทำดังกล่าวน่าจะตรวจพบรอยช้ำที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย แต่ปรากฏผลการตรวจของแพทย์ว่าไม่พบบาดแผลตามร่างกาย ไม่พบบาดแผลฉีกขาดของอวัยวะสืบพันธุ์ ตรวจน้ำในช่องคลอดไม่พบอสุจิและตัวอสุจิ และมีความเห็นว่าไม่พบหลักฐานยืนยันว่ามีการร่วมประเวณี
             จึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้กระทำชำเราหรือพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์ของจำเลยน่าเชื่อว่าจำเลยเพียงแต่ใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ด้านนอกจนสำเร็จความใคร่ โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย
            แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรกและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานมีโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 แม้โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และ 285 โดยไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 279 ด้วย แต่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279 ด้วย ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความผิดที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย จึงเห็นควรลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคแรก และ 285 ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณา

พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5084/2554
ป.อ.  พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ  พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร (มาตรา 318, 319)
ป.วิ.อ.  ห้ามมิให้พิพากษาในเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ  (มาตรา 192 วรรคสี่)
             ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จําเลยที่ 1 ชักชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปพูดคุยกันต่อที่บ้านของนาย ป. แล้วจําเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกข่มขืนกระทําชําเราผู้เสียหายที่ 1 จึงฟังว่า ผู้เสียหายที่ 1 เต็มใจไปด้วยไม่ได้ เพราะผู้เสียหายที่ 1 มิได้เต็มใจที่จะถูกข่มขืนกระทำชำเรา จําเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318
            แต่ในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ เมื่อคำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสองฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 เท่านั้น ศาลจึงลงโทษได้เพียงตามคําขอท้ายฟ้องของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  544/2543
ป.อ. มาตรา 83, 317
ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) , 195 วรรคสอง , 225
           ผู้เสียหายหลบหนีออกจากบ้านมาอยู่กับจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดา แต่ขณะเกิดเหตุ ผู้เสียหายมีอายุเพียง 13 ปีเศษ อยู่ในอำนาจปกครองของบิดา จำเลยได้พาผู้เสียหายไปตามห้องอาหารต่าง ๆ โดยบิดาผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วย เป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดาผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมไปกับจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากบิดาการกระทำของจำเลย จึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดาแล้ว ทั้งการเดินโชว์ชุดว่ายน้ำของเด็กหรือการต้องยอมให้แขกผู้ชายที่มาเที่ยวจับหน้าอกในห้องอาหารต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
           คำฟ้องโจทก์มีคำขอให้ริบกาวสังเคราะห์ของกลาง แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องของกลาง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225

พรากผู้เยาว์และข่มขืนเป็นต่างกรรมต่างวาระ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  775/2548
ป.อ. มาตรา 90, 91, 276, 309, 310, 318 วรรคสาม
ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ 225
               ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม นั้น เมื่อจำเลยมีเจตนาและได้พรากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าความผิดสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง
               ส่วนความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง กับความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ถูกข่มขืนใจหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และข่มขืนกระทำชำเรานั้น จำเลยกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันโดยมุ่งหมายที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
               นอกจากนี้ ศาลล่างทั้งสองมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4304/2541
ป.อ. มาตรา 90, 91
ป.วิ.อ. มาตรา 227
               โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ แต่มีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายในคดีที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในเหตุการณ์เดียวกันมาส่งอ้างต่อศาล ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่า จำเลยร่วมเป็นคนร้ายคนหนึ่งด้วย ทันทีที่ผู้เสียหายหลบหนีจากจำเลยกับพวกกลับมาถึงบ้านได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน และให้ถ้อยคำยืนยันเหตุการณ์และรายละเอียดของพฤติการณ์ต่าง ๆ มาโดยตลอด
               เมื่อฟังประกอบพยานโจทก์คนอื่น ๆ ซึ่งเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมและใกล้ชิดกับเหตุการณ์แล้ว มีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้าย จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปฉุดผู้เสียหายและพาออกจากบ้าน ระหว่างทางจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วพาตัวผู้เสียหายไปกักขังไว้
               การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดต่อตัวผู้เสียหายโดยตรงต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอน โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา แม้จำเลยกับพวกจะกักตัวผู้เสียหายไว้อีก ก็เนื่องมาจากความประสงค์เดียวกันทั้งสอง การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหลายหลายบท ต้องลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
               ส่วนการทีจำเลยพรากผู้เสียหายไปจากมารดาของผู้เสียหายนั้น แม้จะเป็นการกระทำในคราวเดียวกัน แต่ความผิด ฐานนี้เป็นความผิดที่ได้กระทำต่อมารดาผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน มิใช่ความผิดกรรมเดียวกับความผิดข้างต้น

กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๒๔๙๒/๒๕๕๒
ป.อ. มาตรา ๓๑๗ , ๓๑๘ , ๓๑๙
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ ถึงมาตรา ๓๑๙ การพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้องเป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุอันสมควรตามมาตรา ๓๑๗ วรรคแรก และถ้ามีเจตนาพิเศษเพื่อหากำไรหรือ เพื่อการอนาจารก็ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
             ถ้ากรณีผู้เยาว์อายุกว่า ๑๕ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๘ ปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๘ ย่อมมีโทษหนักกว่ากรณีผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๙ กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลนั่นเอง มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้ เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตลอดเวลา
             นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำ หรือไม่มีผู้ชักนำก็ตามก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น ดังนั้น ในวันที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้านของจำเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อน และจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ของบิดามารดาที่มีต่อผู้เยาว์ย่อมถูกพรากจากไปโดยปริยาย โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพราะตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า มารดาของผู้เยาว์ห้ามปรามมิให้ผู้เยาว์คบหากับจำเลย ทั้งจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่สาวผู้เยาว์จนตั้งครรภ์ การร่วมประเวณีกับผู้เยาว์จึงมิใช่การอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยสุจริต แม้ผู้เยาว์จะสมัครใจก็เป็นความผิด
             สำหรับวันที่ผู้เยาว์เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจำเลยบอกว่าไม่อยากอยู่บ้านแล้ว จะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและบอกจำเลยให้ไปพบที่ท่าน้ำพระประแดง และเมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพัง แต่ขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน ๒ คืน โดยผู้เยาว์เป็นคนจ่ายค่าห้องและค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงผู้เดียว ทั้งเมื่อกลับถึงจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้ไปเปิดห้องพักที่โรงแรม และผู้เยาว์ทราบจากจำเลยว่ามารดาของผู้เยาว์แจ้งความเรื่องผู้เยาว์หายไป ผู้เยาว์จึงให้เงินจำเลยอีก ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนี ดังจำเลยต่อสู้ก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน
             พฤติการณ์ของจำเลยจึงมิใช่ตามไปเป็นเพื่อนในกรณีผู้เยาว์หนีออกจากบ้าน แต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น การที่มารดาผู้เยาว์ไปแจ้งความ แสดงว่ามารดาผู้เยาว์ยังเอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์อยู่ ไม่ทำให้อำนาจปกครองของมารดาผู้เยาว์สิ้นไปในระหว่างผู้เยาว์หนีไปเที่ยวพัทยา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๐๓๘-๑๖๐๓๙/๒๕๕๓
ป.อ. พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร (มาตรา ๓๑๗, ๙๑)
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ มีความมุ่งหมายเพื่อให้ความคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อผู้เยาว์ มิให้ผู้ใดพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีใดและไม่คำนึงถึงระยะใกล้หรือไกล
             การที่จำเลยลากผู้เสียหายที่ ๑ เข้าไปในบ้านของจำเลย แล้วกระทำชำเรา ถือได้ว่าจำเลยล่วงอำนาจปกครองหรือแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดามารดาในการควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ ๑ โดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗
             ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานกระทำชำเรา เพราะความผิดทั้งสองมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นคนละเจตนาและเป็นความผิดต่างฐานกัน การกระทำจึงเป็นความผิดหลายกรรม

บรรยายฟ้องความผิดต่างกรรมต่างวาระ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6568/2554
ป.วิ.อ. มาตรา 158(5), 195 วรรคสอง, 225
ป.อ. มาตรา 279
             โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 23 ตุลาคม 2545 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ด้วยการใช้มือจับหน้าอกและอวัยวะเพศของผู้เสียหายทั้งสองจำนวนหลายครั้ง และใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยะเพศของผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายทั้งสองยินยอมต่างกรรมต่างวาระกัน รวมจำนวน 10 ครั้ง 
             การกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ละคนแต่ละคราวย่อมเป็นความผิดแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย 2 คน ต่างกรรมต่างวาระกัน รวม 10 ครั้ง จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ละคน คนละกี่กรรม 
            จึงเป็นฟ้องที่ไม่บรรยายให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ซึ่งศาลต้องยกฟ้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยได้แม้แต่กรรมเดียว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด

คําพิพากษาศาลฎีกาที่  8528/2554
ป.อ.  ข่มขืนกระทําชําเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี อนาจาร มาตรา ๒๗๗, ๒๘๓ ทวิ
ป.วิ.อ.  บรรยายฟ้อง (มาตรา ๑๕๘)
                จากการนําสืบของโจทก์ ไม่ได้ความว่าขณะที่จําเลยจะกระทําชําเราผู้เสียหายที่ ๑ นั้น ผู้เสียหายที่ ๑ ดึงกางเกงในขึ้นแล้วจําเลยดึงกางเกงในออกอีกหรือไม่ ขณะที่จําเลยเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ ผู้เสียหายที่ ๑ ถูกถ่างขาให้แยกจากกันหรือไม่ ขณะที่ผู้เสียหายที่ ๑ ถูกจําเลยกระทําชำเรา และหลังจากนั้นผู้เสียหายที่ ๑ รู้สึกเจ็บปวดที่อวัยวะเพศหรือไม่
               เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๑ มีอายุเพียง ๑๔ ปีเศษ และกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ผู้เสียหายที่ ๑ เบิกความได้เป็นขั้นตอนสมจริงยากที่จะปรุงแต่งเรื่องขึ้นเองเพื่อปรักปรําจําเลย หากไม่มีเหตุเกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ ๑ ผู้เสียหายที่ ๑ คงไม่กล้ากุเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอายเช่นนี้ขึ้น เพื่อทําให้นาง อ. และผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ประกอบกับจําเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายทั้งสอง จึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่าผู้เสียหายทั้งสองจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย และได้ความว่าผู้เสียหายที่ ๑ ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลใดมาก่อน หากจําเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายโดยไม่ยินยอมก็น่าจะปรากฏร่องรอยบาดแผลที่อวัยวะเพศบ้างแต่จากผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ปรากฏว่าตรวจไม่พบหลักฐานของการมีเพศสัมพันธ์
               การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๑ นั้นอาจเป็นการเข้าใจผิดของผู้เสียหายที่ ๑ ที่ยังเป็นเด็กและยังไม่เคยผ่านการร่วมประเวณีมาก่อน พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าอวัยวะเพศของจําเลยไม่ได้ผ่านเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทําอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยไม่ยินยอม
              ความผิดฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี รวมการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีด้วย และเป็นความผิดในตัวเอง ศาลมีอํานาจลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีได้
              คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จําเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๑ โดยไม่ยินยอม โดยมิได้บรรยายฟ้องว่า จําเลยกระทําไปโดยใช้กําลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานกระทําอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจําเลยฐานกระทําอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กําลังประทุษร้าย คงลงโทษได้ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และยังเป็นการกระทำความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคสอง อีกด้วย ซึ่งเป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
              นอกจากนี้การกระทําดังกล่าวยังทำให้อำนาจปกครองดูแลผู้เยาว์ของบิดามารดาได้ถูกพรากจากไปโดยปริยาย การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม อีกกรรมหนึ่งด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8825/2554
ป.อ. มาตรา 80, 277 วรรคสอง (เดิม), 279 วรรคสอง, 285
ป.วิ.อ. มาตรา 158(5), 160 วรรคหนึ่ง, 192
            เด็กหญิงผู้เสียหายอายุ 11 ปีเศษ เป็นบุตรของนาย ธ ภริยาใหม่ของนาย ธ ไม่ถูกกับผู้เสียหาย นาย ธ จึงพาผู้เสียหายมาฝากอยู่ที่บ้านของนาง ว แต่จำเลยเป็นสามีของนาง ว เข้าไปในมุ้งของผู้เสียหายแล้วลงมือกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย แพทย์ได้ตรวจภายใน ไม่พบร่องรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายและไม่พบบาดแผลใด เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์แห่งคดีที่ผู้เสียหายมีรูปร่างเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันและไม่รู้เดียงสาในเรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงกับคำบอกเล่าของผู้เสียหายที่แจ้งแก่นาง ต ว่า ผู้เสียหายไม่เจ็บและไม่มีเลือดออกขณะจำเลยลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ทำให้มีข้อสงสัยตามสมควรว่าอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายและพยายามข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
            นาย ธ นำผู้เสียหายมาฝากไว้กับนาง ว. ภริยาของจำเลยช่วยดูแลเพื่อความสะดวกในการศึกษาของผู้เสียหาย ดังนั้น อำนาจปกครองยังคงอยู่กับนาย ธ ผู้เป็นบิดาของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่เป็นผู้อยู่ในความปกครองของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษหนักขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง และมาตรา 277 วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 80 ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก มานั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
            โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยหลายครั้งในระยะเวลาหลายวัน โดยมิได้บรรยายว่ากระทำผิดกี่กรรมและเมื่อใดบ้าง ไม่ชัดเจนว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยหลายกรรม ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดเพียงกรรมเดียว ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
            อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 เดิม และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง มาตรา 277 วรรคสอง (เดิม) ประกอบด้วยมาตรา 80 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1